ระบบ Push Start มีหลักการทำงานอย่างไร
ระบบ Push Start ได้เปลี่ยนวิธีการสตาร์ทรถยนต์ไปอย่างสิ้นเชิง ปุ่มสตาร์ทรถที่ดูเรียบง่ายนี้ได้แทนที่การบิดกุญแจแบบดั้งเดิม ทำให้การเริ่มต้นการเดินทางเป็นเรื่องง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส แต่ระบบ Push Start นี้ทำงานอย่างไร และทำไมผู้ใช้รถจึงควรทำความเข้าใจกับมัน เดี๋ยว เน็กเซ็น จะไขข้อสงสัยทั้งหมดเกี่ยวกับปุ่มพุชสตาร์ทที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนให้เอง
ระบบ Push Start คืออะไร
ระบบ Push Start เป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจแบบดั้งเดิม เพียงแค่กดปุ่มสตาร์ทรถที่ติดตั้งอยู่บนแผงหน้าปัด ระบบจะทำงานร่วมกับ Smart Key ซึ่งเป็นกุญแจอัจฉริยะที่สื่อสารกับตัวรถผ่านสัญญาณวิทยุความถี่ต่ำ ทำให้การสตาร์ทรถเป็นเรื่องง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น
ปุ่ม Push Start กดแบบไหนถูกต้อง
การใช้งานปุ่ม Push Start อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด โดยทั่วไป การสตาร์ทรถด้วยปุ่มพุชสตาร์ทมีขั้นตอน ดังนี้
- เหยียบเบรกให้สุด
- กดปุ่ม Push Start ค้างไว้ 2 – 3 วินาที
- ปล่อยปุ่มเมื่อเครื่องยนต์ติด
นอกจากนี้ การกดปุ่มสตาร์ทรถแต่ละครั้งยังมีความต่างในการทำงานอีกด้วย เช่น
- กด 1 ครั้ง : เปิดระบบไฟฟ้าบางส่วน เช่น วิทยุ
- กด 2 ครั้ง : เปิดระบบไฟฟ้าทั้งหมด
- กด 3 ครั้ง (พร้อมเหยียบเบรก) : สตาร์ทเครื่องยนต์
ระบบ Push Start มีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง
ระบบ Push Start มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ผู้ใช้รถควรพิจารณา การทำความเข้าใจกับคุณสมบัติเหล่านี้จะช่วยให้คุณใช้งานระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น
ข้อดีของระบบ Push Start
- สะดวกสบาย : ไม่ต้องหยิบกุญแจออกมาบิด เพียงแค่กดปุ่มพุชสตาร์ทก็สตาร์ทรถได้ทันที
- ปลอดภัย : มีระบบ Immobilizer ป้องกันการโจรกรรม ทำให้ยากต่อการขโมยรถ
- ทันสมัย : ให้ความรู้สึกไฮเทคและล้ำสมัย เพิ่มมูลค่าให้กับรถยนต์
- ใช้งานง่าย : ไม่ต้องกังวลเรื่องกุญแจติดล็อก หรือลืมถอดกุญแจ
ข้อเสียของระบบ Push Start
- ค่าใช้จ่ายสูง : หากปุ่ม Push Start เสีย การซ่อมหรือเปลี่ยนอาจมีค่าใช้จ่ายสูง
- พึ่งพาแบตเตอรี่ : ทั้ง Smart Key และระบบในรถต้องอาศัยแบตเตอรี่ หากหมดอาจทำให้ใช้งานไม่ได้
- ความซับซ้อน : ระบบที่ซับซ้อนขึ้นอาจทำให้เกิดปัญหาได้ง่ายกว่าระบบกุญแจแบบดั้งเดิม
- ความเสี่ยงจากการกดผิด : อาจเกิดอันตรายหากเผลอกดปุ่มขณะขับรถ
เผลอกดปุ่ม Push Start ขณะขับ จะเป็นไรไหม
หากเผลอกดปุ่ม Push Start เพียงเสี้ยววินาทีขณะขับรถ จะไม่เกิดอะไรขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตได้ออกแบบระบบความปลอดภัยไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม หากกดปุ่มพุชสตาร์ทค้างไว้ 2 – 3 วินาที เครื่องยนต์จะดับทันที ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ เพราะระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ และเบรกจะหยุดทำงาน ทำให้ควบคุมรถได้ยากขึ้น
หากเกิดเหตุการณ์นี้ ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- เปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์ว่าง (N)
- เหยียบเบรกให้แน่น
- กดปุ่ม Push Start อีกครั้งเพื่อสตาร์ทรถใหม่
ระบบ Push Start กับกุญแจ ต่างกันอย่างไร
ระบบ Push Start และกุญแจแบบดั้งเดิมมีความแตกต่างกัน ดังนี้
- วิธีการสตาร์ท : ระบบ Push Start ใช้การกดปุ่ม ในขณะที่กุญแจแบบเดิมต้องเสียบและบิด
- การสื่อสาร : ระบบ Push Start ใช้ Smart Key ที่สื่อสารผ่านคลื่นวิทยุ ส่วนกุญแจแบบเดิมใช้การเชื่อมต่อทางกล
- ฟีเจอร์เพิ่มเติม : ระบบ Push Start มักมาพร้อมกับการล็อก และปลดล็อกประตูอัตโนมัติ
- ความปลอดภัย : ระบบ Push Start มีระบบป้องกันการโจรกรรมที่ซับซ้อนกว่า
ปุ่ม Push Start เสีย ซ่อมแพงหรือเปล่า
เมื่อปุ่ม Push Start เสีย ค่าใช้จ่ายในการซ่อมอาจสูงกว่าการซ่อมระบบกุญแจแบบเดิม เนื่องจากเป็นระบบที่ซับซ้อนกว่า ซึ่งหากมีการเปลี่ยนยกชุด จะมีราคาเริ่มต้นที่ 2,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับรุ่นของรถ
แบตกุญแจรถหมดกดปุ่มสตาร์ทรถไม่ได้ ต้องทำอย่างไร
หากแบตเตอรี่ของ Smart Key หมด และไม่สามารถกดปุ่มสตาร์ทรถได้ ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- นำ Smart Key มาแตะที่ปุ่ม Push Start โดยตรง (บางรุ่นอาจมีจุดเฉพาะสำหรับแตะ Smart Key)
- กดปุ่มพุชสตาร์ทพร้อมเหยียบเบรก
หลังจากนั้น ควรรีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ของ Smart Key โดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันปัญหาในการใช้งานครั้งต่อไป
สรุปบทความ
ระบบ Push Start เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้รถยนต์ เพียงทำความเข้าใจถึงการใช้งานเบื้องต้น และเปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อสังเกตได้ว่าสัญญาณอ่อน การใช้งานระบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลแต่อย่างใด เช่นเดียวกับการเปลี่ยนยางรถยนต์ตามอายุการใช้งาน อย่างการเลือกยางประหยัดน้ำมัน หรือยางนุ่มเงียบจาก NEXEN ที่ตอบโจทย์ด้านความคุ้มค่า และประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมในการขับขี่ จึงตอบโจทย์ผู้ใช้รถที่อยากประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี
สัมผัสความนุ่มนวลเหนือระดับไปกับเน็กเซ็น ได้ง่าย ๆ ที่ร้านยางชั้นนำทั่วประเทศ ศูนย์บริการ B-Quik และ MMS ทุกสาขา หรือช่องทางออนไลน์ Shopee Lazada
พิเศษสุด! โปรโมชั่นรับประกันยางบาด บวม แตก ภายใน 1 ปี หรือ 25,000 กิโลเมตร เมื่อซื้อยาง 4 เส้น/ใบเสร็จ และลงทะเบียนภายใน 14 วัน สอบถามเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ หรือเฟซบุ๊ก NEXEN TIRE THAILAND