ยางรถยนต์สำคัญกับการขับขี่แค่ไหน ทำไมต้องเลือกให้เป็น
ยางรถยนต์เป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของรถยนต์ เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อเพียงจุดเดียวระหว่างตัวรถกับพื้นถนน การเลือกยางรถยนต์ที่เหมาะสมจึงมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการขับขี่ ความปลอดภัย และสมรรถนะของรถยนต์ เดี๋ยววันนี้ พิเรลลี่ จะพามาดูวิธีเลือกยางจากประเภทการใช้งาน และวิธีดูขนาดยางไปพร้อม ๆ กัน
ทำไมการเลือกยางรถยนต์ถึงสำคัญในการใช้รถ
การเลือกยางรถยนต์ที่เหมาะสมไม่ใช่เพียงแค่การเลือกยี่ห้อที่มีชื่อเสียง หรือราคาที่ถูกที่สุดเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน สภาพถนน สภาพภูมิอากาศ และประเภทของรถยนต์ด้วย เราลองมาดูสาเหตุที่ต้องให้ความสำคัญกันดีกว่า
- ความปลอดภัยในการขับขี่ : ยางรถยนต์เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการยึดเกาะถนน การเบรก และการควบคุมรถ โดยเฉพาะในสภาพถนนที่เปียกหรือลื่น ยางที่มีดอกยางเหมาะสมจะช่วยระบายน้ำออกจากใต้ล้อ และลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุจากการลื่นไถล
- ประสิทธิภาพการขับขี่ : ยางรถยนต์ที่มีคุณภาพ และเหมาะสมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ ทั้งในแง่ของการตอบสนองต่อพวงมาลัย การเร่งความเร็ว และการเบรก
- ประหยัดเชื้อเพลิง : ยางรถยนต์ที่มีแรงต้านการหมุนต่ำจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า เนื่องจากเครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานหนักเพื่อเอาชนะแรงต้านจากยาง
- ความสบายในการขับขี่ : ยางรถยนต์ที่มีคุณภาพช่วยดูดซับแรงกระแทกจากถนนและลดเสียงรบกวน ทำให้การขับขี่นุ่มนวลและเงียบมากขึ้น
- อายุการใช้งานของระบบช่วงล่าง : ยางรถยนต์ที่เหมาะสมช่วยรับแรงกระแทกจากถนนได้ดี ส่งผลให้ระบบช่วงล่างมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
ผลกระทบของการใช้ยางรถยนต์ที่ไม่เหมาะสม
- เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ : ยางที่สึกหรอหรือไม่เหมาะสมกับสภาพถนนจะลดประสิทธิภาพการยึดเกาะและเพิ่มระยะทางในการเบรก ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
- สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง : ยางที่มีแรงต้านการหมุนสูงจะทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น เพราะเครื่องยนต์ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อขับเคลื่อนรถ
- เสียงรบกวนเพิ่มขึ้น : ยางที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดเสียงรบกวนขณะขับขี่ เช่น เสียงดังจากการสั่นสะเทือนหรือการเสียดสีกับพื้นถนน
- ลดอายุการใช้งานของยางและชิ้นส่วนอื่น ๆ : ยางที่ไม่เหมาะสมจะสึกหรอเร็วขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อชิ้นส่วนอื่น ๆ ของรถ เช่น ระบบช่วงล่าง และระบบบังคับเลี้ยว
- ประสิทธิภาพการขับขี่ลดลง : การใช้ยางที่ไม่เหมาะสมส่งผลให้ประสิทธิภาพการขับขี่ลดลง ทั้งในแง่ความแม่นยำในการควบคุมรถ และความสามารถในการรับมือกับสภาพถนนที่แตกต่างกัน
ประเภทของยางรถยนต์ในอุตสาหกรรมยานยนต์
ยางรถยนต์มีหลากหลายประเภทที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการในการขับขี่ที่แตกต่างกัน แต่นอกจากเรื่องของซีรีส์ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นยางนุ่มเงียบ ยางประหยัดน้ำ หรือยางสปอร์ต ยังมีโครงสร้างยางที่แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ที่พบเห็นได้ในท้องตลาด ดังนี้
ยางแบบเรเดียล
ยางเรเดียลเป็นประเภทยางรถยนต์ที่พบเห็นได้มากที่สุดในปัจจุบัน มีโครงสร้างของเส้นใยที่วางตัวในแนวรัศมีจากขอบยางด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถรับแรงกระแทกได้ดี
ข้อดีของยางเรเดียล
- มีอายุการใช้งานยาวนานกว่ายางแบบผ้าใบ
- ประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่าเนื่องจากมีแรงต้านการหมุนต่ำ
- ให้การยึดเกาะถนนที่ดีและการควบคุมที่แม่นยำ
- ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่มากกว่า
- ทนความร้อนได้ดีกว่า ลดความเสี่ยงในการเกิดยางระเบิด
ยางเรเดียลเหมาะสำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งรถเก๋ง รถอเนกประสงค์ (SUV) และรถกระบะ เนื่องจากมีความสมดุลระหว่างการใช้งาน ความสบาย และอายุการใช้งาน
ยางแบบผ้าใบ
ยางแบบผ้าใบ หรือยางไบแอส มีโครงสร้างของเส้นใยที่เรียงตัวในลักษณะทแยงมุม ทำให้มีความแข็งแรงสูงแต่ยืดหยุ่นน้อยกว่ายางเรเดียล
ข้อดีของยางแบบผ้าใบ
- มีความแข็งแรงสูง เหมาะกับการรับน้ำหนักมาก
- ทนทานต่อการฉีกขาดและการเจาะทะลุ
- มีราคาถูกกว่ายางเรเดียล
- เหมาะสำหรับการขับขี่ในสภาพถนนที่ขรุขระหรือเป็นหลุมเป็นบ่อ
ยางแบบผ้าใบมักใช้กับรถบรรทุกขนาดใหญ่ รถแทรกเตอร์ และอุปกรณ์ก่อสร้าง เนื่องจากความสามารถในการรับน้ำหนักสูงและทนทานต่อสภาพการใช้งานหนัก อย่างไรก็ตาม ยางแบบผ้าใบมีข้อเสียคือ อายุการใช้งานสั้นกว่า สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่า และให้ความนุ่มนวลในการขับขี่น้อยกว่ายางเรเดียล
วิธีการเลือกยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับประเภทการขับขี่
การเลือกยางรถยนต์ที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์และเพิ่มความปลอดภัยอีกด้วย ต่อไปนี้เป็นวิธีการเลือกยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับประเภทการขับขี่ของคุณ
1. พิจารณาประเภทของรถยนต์ก่อนเลือกยาง
ประเภทของรถยนต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาในการเลือกยางรถยนต์ เนื่องจากรถแต่ละประเภทมีความต้องการเฉพาะที่แตกต่างกัน
- รถซีดาน : ควรพิจารณาความสูงของแก้มยาง โดยทั่วไปผู้ใช้รถซีดานส่วนใหญ่มักต้องการความนุ่มนวลและความเงียบในการขับขี่ แก้มยางที่สูงพอสมควรจะช่วยดูดซับแรงกระแทกได้ดี ทำให้การขับขี่สบายขึ้น
- รถอเนกประสงค์ (SUV) : ควรพิจารณาดัชนีการรับน้ำหนัก เนื่องจาก SUV มีน้ำหนักมากกว่ารถเก๋ง และพื้นที่การใช้งานที่หลากหลาย ยางต้องสามารถรองรับน้ำหนักได้ดีและทนทานต่อการใช้งานในสภาพพื้นผิวที่แตกต่างกัน
- รถกระบะ : ควรพิจารณาความแข็งแรงของโครงสร้างยางและความทนทานของดอกยาง โดยเฉพาะเมื่อต้องบรรทุกของหนักหรือใช้งานในพื้นที่ขรุขระ ยางต้องมีดัชนีการรับน้ำหนักที่สูงพอเพื่อรองรับการบรรทุก
- รถสปอร์ต : ควรพิจารณาคุณสมบัติการยึดเกาะถนน และการตอบสนองที่รวดเร็ว โดยทั่วไปรถสปอร์ตต้องการยางที่มีแก้มต่ำเพื่อให้การควบคุมรถที่แม่นยำ และการทรงตัวที่ดีในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง
2. ทำความเข้าใจเรื่องขนาดและดัชนีรับน้ำหนัก
การเลือกยางรถยนต์ที่มีขนาดและดัชนีรับน้ำหนักที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญมาก ขนาดยางมักแสดงในรูปแบบ เช่น 195/55R16 91H ซึ่งแต่ละส่วนมีความหมาย ดังนี้
- 195 : ความกว้างของยางในหน่วยมิลลิเมตร
- 55 : อัตราส่วนความสูงต่อความกว้าง (ความสูงของแก้มยางคิดเป็น 55% ของความกว้าง)
- R : โครงสร้างยางแบบเรเดียล
- 16 : เส้นผ่าศูนย์กลางของล้อในหน่วยนิ้ว
- 91 : ดัชนีรับน้ำหนัก (บ่งบอกถึงน้ำหนักสูงสุดที่ยางสามารถรับได้)
- H : ดัชนีความเร็ว (บ่งบอกถึงความเร็วสูงสุดที่ยางสามารถรองรับได้)
การเลือกยางให้ตรงกับขนาดที่กำหนดไว้สำหรับรถของคุณเป็นสิ่งสำคัญ การเปลี่ยนขนาดยางอาจส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ของรถ เช่น ระบบเบรก ABS และการแสดงความเร็วบนมาตรวัด
3. ดูประเภทของยางให้ตอบโจทย์การใช้งาน
การเลือกประเภทยางรถยนต์ให้เหมาะกับการใช้งานของคุณจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการขับขี่ ประเภทยางที่ควรพิจารณา มีดังนี้
- ยางสปอร์ต : ออกแบบมาเพื่อสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น มอบการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยมทั้งในสภาพถนนแห้งและเปียก พร้อมการตอบสนองที่รวดเร็วและแม่นยำ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ที่เร้าใจและต้องการควบคุมรถได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์ มักมีแก้มยางต่ำเพื่อการทรงตัวที่ดีขณะเข้าโค้ง
- ยางประหยัดน้ำมัน : ถูกพัฒนาให้มีแรงต้านการหมุนต่ำ ทำให้เครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานหนักเพื่อขับเคลื่อนรถ ส่งผลให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้รถเดินทางไกลเป็นประจำ หรือต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ยางประเภทนี้มักมีอายุการใช้งานยาวนาน และเสื่อมสภาพช้ากว่ายางทั่วไป
- ยางนุ่มเงียบ (คอมฟอร์ท) : เน้นความสบายในการขับขี่เป็นหลัก ออกแบบให้ดูดซับแรงกระแทกจากถนนได้ดีและลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ ทำให้ห้องโดยสารเงียบและผู้โดยสารสบายมากขึ้น เหมาะสำหรับการเดินทางระยะไกลและการใช้งานประจำวัน ยางประเภทนี้มักมีความยืดหยุ่นสูงและมีแก้มยางที่ออกแบบมาเพื่อการลดเสียงโดยเฉพาะ
สรุปบทความ
นอกจากความสำคัญของการเลือกยางรถยนต์แล้ว การหมั่นตรวจเช็กสภาพในการใช้งาน และเติมลมยางอยู่เป็นประจำอย่างน้อย 2 สัปดาห์ครั้ง ก็เป็นอีกเรื่องที่ควรทำเพื่อช่วยให้ยางอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ แต่หากยางรถยนต์หมดสภาพ และคุณกำลังมองหาแบรนด์ยางคุณภาพดี NEXEN TIRE คือคำตอบสำหรับคุณในทุกการใช้งาน ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับ พร้อมการรับประกันที่ทำให้คุณมั่นใจกว่าที่เคย
สัมผัสความนุ่มนวลเหนือระดับไปกับเน็กเซ็น ได้ง่าย ๆ ที่ร้านยางชั้นนำทั่วประเทศ ศูนย์บริการ B-Quik และ MMS ทุกสาขา หรือช่องทางออนไลน์ Shopee Lazada
พิเศษสุด! โปรโมชั่นรับประกันยางบาด บวม แตก ภายใน 1 ปี หรือ 25,000 กิโลเมตร เมื่อซื้อยาง 4 เส้น/ใบเสร็จ และลงทะเบียนภายใน 14 วัน สอบถามเพิ่มเติมทางเว็บไซต์ หรือเฟซบุ๊ก NEXEN TIRE THAILAND